Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    kitchen-thailand
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • ความบันเทิง
    kitchen-thailand
    ข่าวสารล่าสุด

    ดื่ม กาแฟ มากเกินไปอาจทำให้ความดันโลหิตสูง

    Daniel WalkerBy Daniel WalkerJune 17, 2025No Comments2 Mins Read

    สำหรับหลายคน กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่จำเป็นเพื่อเพิ่มพลังงานและสมาธิ แต่การดื่มเกินพอดีอาจส่งผลร้ายต่อระดับความดันโลหิต งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่หากเกินกว่านี้ อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    กาแฟทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้อย่างไร?

    1. ผลของคาเฟอีนต่อหลอดเลือด
      คาเฟอีนในกาแฟเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิด:
      • การหดตัวของหลอดเลือด (vasoconstriction)
      • อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
      • การหลั่งฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอลและอะดรีนาลีน)
    2. ✔ ผลการศึกษาทางคลินิก:
      งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Nutrition พบว่าการบริโภคคาเฟอีน 200-300 มก. (เทียบเท่ากับกาแฟ 2-3 แก้ว) สามารถเพิ่มความดันโลหิตตัวบน (Systolic) ได้ 8-10 มม.ปรอท เป็นเวลานานถึง 3 ชั่วโมง
    3. การรบกวนสมดุลโซเดียม
      การดื่มกาแฟมากเกินไปส่งผลต่อการทำงานของไตในการควบคุม:
      • การกักเก็บโซเดียม (เกลือ) → ทำให้น้ำคั่งในร่างกายมากขึ้น
      • ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้น → ความดันโลหิตสูงขึ้น
    4. การดื้อต่อผลของคาเฟอีน
      สำหรับผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำ ร่างกายอาจตอบสนองต่อคาเฟอีนได้น้อยลง ต้องการปริมาณมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลเหมือนเดิม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงในระยะยาว

    ขีดจำกัดการดื่มกาแฟที่ปลอดภัย

    ระดับการบริโภคคาเฟอีนเทียบเท่ากับกาแฟ (แก้ว)
    ปลอดภัย (Safe)≤400 มก. (3-4 แก้ว)
    เสี่ยง (Risky)400-600 มก. (4-6 แก้ว)
    อันตราย (Dangerous)>600 มก. (>6 แก้ว)

    ข้อมูลจาก FDA และ European Food Safety Authority (EFSA)

    อาการความดันโลหิตสูงจากการดื่มกาแฟ

    ✔ ปวดหัวตุบ ๆ
    ✔ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    ✔ เวียนศีรษะหรือมองเห็นภาพไม่ชัด
    ✔ กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ

    หากมีอาการเหล่านี้ ควรตรวจวัดความดันโลหิตและลดปริมาณกาแฟลง

    วิธีลดความเสี่ยงความดันโลหิตสูงจาก กาแฟ

    1. เลือกกาแฟที่มีคาเฟอีนต่ำ
      • กาแฟอาราบิก้า (คาเฟอีนต่ำกว่ากาแฟโรบัสต้า)
      • กาแฟดีแคฟ (ไม่มีคาเฟอีน)
      • ผสมกับนมหรือลินิน (อบเชย)
    2. จัดเวลาการดื่มกาแฟให้เหมาะสม
      • หลีกเลี่ยงดื่มตอนท้องว่าง
      • งดดื่มหลังบ่าย 2 โมงเย็น (ป้องกันปัญหานอนหลับ)
      • รอ 1-2 ชั่วโมงหลังตื่นก่อนดื่มกาแฟ
    3. เพิ่มการดื่มน้ำและเกลือแร่
      • ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วหลังดื่มกาแฟทุกครั้ง
      • รับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย อะโวคาโด เพื่อสมดุลโซเดียม

    เครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพแทนกาแฟ

    ✔ ชาเขียว (คาเฟอีนต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ)
    ✔ กาแฟชิโครี่ (ไม่มีคาเฟอีน ดีต่อระบบย่อย)
    ✔ นมทองคำ (ผสมขมิ้นและนม) (ต้านการอักเสบ)
    ✔ น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว (ช่วยล้างพิษและสดชื่น)

    เมื่อไรควรไปพบแพทย์?

    ควรพบแพทย์ทันทีหาก:

    • ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท อย่างต่อเนื่อง
    • มักเวียนศีรษะหรือเจ็บหน้าอกหลังดื่มกาแฟ
    • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ

    สรุป: ดื่มกาแฟอย่างมีสติ!

    กาแฟมีประโยชน์มากมาย แต่หากดื่มเกินพอดีอาจทำให้ความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด

    เคล็ดลับสุดท้าย:
    ✓ จำกัดไม่เกินวันละ 3 แก้ว
    ✓ ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ
    ✓ เปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนต่ำหากจำเป็น

    ผลกระทบระยะยาวของคาเฟอีนต่อความดันโลหิต

    แม้บางคนอาจไม่แสดงอาการผิดปกติทันทีหลังดื่มกาแฟ แต่การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตในระยะยาว งานวิจัยบางชิ้นพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟมากกว่า 4 แก้วต่อวันเป็นประจำ มีแนวโน้มความดันโลหิตสูงกว่ากลุ่มที่ดื่มน้อยหรือไม่ดื่มเลย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพันธุกรรมไวต่อคาเฟอีน

    เมื่อความดันโลหิตสูงต่อเนื่องโดยไม่ควบคุม อาจทำให้หลอดเลือดแข็งตัว หัวใจทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจโต หรือภาวะไตเสื่อมในอนาคต

    คาเฟอีนไม่ได้อยู่แค่ในกาแฟ

    นอกจากกาแฟแล้ว คาเฟอีนยังพบในเครื่องดื่มและอาหารอื่นๆ เช่น ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ช็อกโกแลต และยาบางชนิด หากรวมคาเฟอีนจากแหล่งอื่นเข้าไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ก็อาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินความจำเป็น ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงโดยไม่ทันรู้ตัว

    สัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณอาจดื่มกาแฟมากเกินไป

    หากคุณมีอาการต่อไปนี้เป็นประจำหลังดื่มกาแฟ ควรพิจารณาลดปริมาณหรือปรึกษาแพทย์:

    • ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    • ปวดศีรษะโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
    • รู้สึกกังวลหรือหงุดหงิดง่าย
    • นอนไม่หลับ
    • ความดันโลหิตสูงเมื่อวัดที่บ้านหรือตรวจสุขภาพ

    ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดการบริโภคคาเฟอีน

    • ดื่มกาแฟดีแคฟ (decaf) ซึ่งมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่า
    • เลือกดื่มชาเขียวหรือชาใบหม่อนที่มีคาเฟอีนต่ำกว่า
    • เพิ่มพลังระหว่างวันด้วยการออกกำลังกายเบาๆ แทนกาแฟ
    • ดื่มน้ำเปล่ามากขึ้นเพื่อลดอาการล้าหรือง่วง

    ความแตกต่างของผลกระทบในแต่ละบุคคล

    สิ่งที่ควรทำความเข้าใจคือ ร่างกายของแต่ละคนมีการตอบสนองต่อคาเฟอีนแตกต่างกัน ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับความไวของร่างกายต่อกาแฟ ได้แก่:

    • พันธุกรรม: คนบางกลุ่มมีเอนไซม์ที่สามารถย่อยสลายคาเฟอีนได้ช้ากว่าปกติ ทำให้คาเฟอีนอยู่ในร่างกายนาน ส่งผลต่อความดันโลหิตมากกว่าคนทั่วไป
    • อายุ: ผู้สูงอายุมักมีระบบการทำงานของร่างกายช้าลง รวมถึงการกำจัดคาเฟอีน ซึ่งอาจทำให้ได้รับผลกระทบชัดเจนขึ้น
    • โรคประจำตัว: ผู้ที่มีโรคหัวใจ โรคไต หรือความดันโลหิตสูง จะมีความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อดื่มกาแฟในปริมาณมาก
    • ยาที่ใช้: ยาบางชนิด เช่น ยาลดกรด หรือยาควบคุมอารมณ์ อาจรบกวนการเผาผลาญคาเฟอีน ทำให้คาเฟอีนมีฤทธิ์อยู่ในร่างกายนานขึ้นและเพิ่มผลต่อความดันโลหิต

    การทำความเข้าใจว่าแต่ละคนมีขีดจำกัดของการบริโภคคาเฟอีนที่ต่างกันจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้กาแฟกลายเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ

    คำแนะนำจากแพทย์และนักโภชนาการ

    หน่วยงานด้านสุขภาพในหลายประเทศ เช่น องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา หรือสมาคมโรคหัวใจ (AHA) แนะนำว่าผู้ใหญ่ทั่วไปไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงควรลดลงเหลือประมาณ 200 มิลลิกรัมหรือให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

    สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรสังเกตผลกระทบต่อร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และหากมีข้อสงสัยหรือมีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมในการบริโภคกาแฟของตนเอง

    ทางเลือกอื่นแทนกาแฟสำหรับการเพิ่มพลังงาน

    หากคุณต้องการพลังงานในแต่ละวันโดยไม่พึ่งพากาแฟหรือคาเฟอีนมากเกินไป ยังมีทางเลือกที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพหลายประการ เช่น:

    • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ: ร่างกายที่ขาดน้ำอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ง่าย การดื่มน้ำช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
    • กินอาหารที่สมดุล: อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน และไขมันดี เช่น ข้าวกล้อง ถั่วต่างๆ หรือผลไม้ สามารถให้พลังงานยั่งยืนโดยไม่กระตุ้นความดันโลหิต
    • ออกกำลังกายเบาๆ: การเดินเร็วหรือยืดเส้น 5–10 นาทีช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มพลังสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • การหายใจลึก: เทคนิคการหายใจอย่างมีสติหรือการทำสมาธิช่วยฟื้นฟูพลังงานทางจิตใจและร่างกาย โดยไม่ต้องพึ่งกาแฟ

    ข้อคิดในการดื่มกาแฟอย่างปลอดภัย

    การบริโภคกาแฟไม่จำเป็นต้องเลิกโดยสิ้นเชิง แต่ควรใช้แนวคิด “รู้พอประมาณ” และปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมกับร่างกายและสุขภาพของแต่ละบุคคล โดยมีแนวทางปฏิบัติที่แนะนำ เช่น:

    • ไม่ดื่มกาแฟขณะท้องว่าง: เพราะอาจเพิ่มระดับความเป็นกรดในกระเพาะและกระตุ้นระบบประสาทเกินจำเป็น
    • ไม่ดื่มเกิน 1 แก้วในช่วงเย็นหรือก่อนนอน 6 ชั่วโมง: เพื่อไม่รบกวนการนอน
    • เลือกกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลหรือนมมากเกินไป: เพื่อหลีกเลี่ยงพลังงานส่วนเกินหรือระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูง
    • หยุดดื่มเมื่อรู้สึกว่าร่างกายแสดงอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย หรือวิงเวียนศีรษะ

    สรุปภาพรวม

    กาแฟอาจเป็นเพื่อนคู่ใจของใครหลายคนในชีวิตประจำวัน แต่การดื่มมากเกินไปสามารถเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในผู้ที่มีความอ่อนไหวต่อคาเฟอีนหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

    การเข้าใจผลกระทบของกาแฟต่อร่างกาย และเลือกวิธีบริโภคอย่างมีสติ ไม่เพียงช่วยให้เพลิดเพลินกับกาแฟอย่างปลอดภัย แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาวให้สมดุล แข็งแรง และมีพลังตลอดทั้งวัน โดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีนมากจนเกินไป.

    กาแฟ ดื่ม กาแฟ มากเกินไปอาจทำให้ความดันโลหิตสูง
    Daniel Walker

    Related Posts

    ชายหาด ที่สวยที่สุดในประเทศไทยและวิธีเพลิดเพลินไปกับชายหาดเหล่านี้

    June 24, 2025

    เมื่อไรควรกังวลเกี่ยวกับอาการ ท้องเสีย สัญญาณอันตรายของภาวะขาดน้ำ

    June 23, 2025

    วิธีธรรมชาติในการลดความดันโลหิตโดยไม่ต้องใช้ ยา

    June 22, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.