สุขภาพ เท้า มักเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่เท้าเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องรองรับน้ำหนักตัวตลอดเวลา การเดิน วิ่ง หรือแม้แต่การยืนล้วนทำให้ผิวหนังบริเวณเท้าถูกกดทับและเสียดสีกับรองเท้าได้ง่าย ปัญหาที่พบได้บ่อยคือ ตาปลา และ ผิวแตก ซึ่งไม่เพียงสร้างความไม่สบาย แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจและสุขอนามัย หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือปัญหาสุขภาพเท้าที่รุนแรงขึ้นได้
บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุของตาปลาและผิวแตก วิธีดูแลรักษา และแนวทางป้องกันเพื่อให้เท้าดูสะอาดและแข็งแรงมากขึ้น
ทำความเข้าใจกับตาปลาและผิวแตก

ตาปลาคืออะไร
ตาปลา (Corns) คือการหนาตัวของผิวหนังบริเวณเท้า มักเกิดขึ้นเนื่องจากแรงกดหรือแรงเสียดสีที่เกิดซ้ำ ๆ เช่น การใส่รองเท้าที่คับหรือแข็งเกินไป ผิวหนังจึงสร้างชั้นหนาขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง ลักษณะเด่นคือเป็นก้อนแข็งวงกลม มักพบที่ปลายนิ้วหรือตามขอบนิ้วเท้า บางครั้งอาจกดเจ็บเมื่อต้องเดินหรือใส่รองเท้านาน ๆ
ผิวแตกบริเวณส้นเท้า
ส้นเท้าแตก (Cracked heels) มักเกิดจากผิวแห้งสะสม เมื่อผิวหนังหนาขึ้นแต่ขาดความชุ่มชื้น ทำให้เกิดรอยแตกที่ส้นเท้า นอกจากทำให้ดูไม่สวยงามแล้ว หากรอยแตกมีความลึกก็อาจทำให้เจ็บหรือเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
สาเหตุหลักของการเกิดตาปลาและผิวแตก
- รองเท้าไม่พอดี
รองเท้าที่บีบเกินไปหรือรองเท้าที่หลวมเกินไปสามารถสร้างแรงเสียดสีและแรงกดจนนำไปสู่ตาปลาและผิวแตก - ผิวแห้งและขาดการบำรุง
เท้าที่ไม่เคยทาครีมหรือไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ มักมีโอกาสผิวแตกได้ง่าย - ยืนหรือเดินเป็นเวลานาน
ผู้ที่ทำงานยืนหรือเดินทั้งวัน เช่น พนักงานบริการ มักเผชิญแรงกดที่เท้ามากกว่าปกติ - โรคประจำตัวบางชนิด
เบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น กลากหรือสะเก็ดเงิน มีส่วนทำให้ปัญหาผิวแตกและตาปลาเกิดได้บ่อยขึ้น - ขาดการดูแลความสะอาดเท้า
การไม่ล้างเท้าอย่างถูกวิธีหรือไม่เช็ดให้แห้งหลังล้าง อาจทำให้ผิวหนังอ่อนแอและเกิดความผิดปกติได้ง่าย
วิธีแก้ปัญหาตาปลา
- แช่เท้าในน้ำอุ่น
แช่เท้าประมาณ 15–20 นาที เพื่อให้ผิวหนังนุ่มลง จะช่วยให้การขัดหรือตัดผิวหนังที่หนาออกง่ายขึ้น - ขัดด้วยหินภูเขาไฟหรือที่ขัดส้นเท้า
หลังแช่เท้า สามารถใช้หินภูเขาไฟถูเบา ๆ บริเวณที่มีตาปลา แต่ไม่ควรถูแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวบางและเจ็บ - ใช้แผ่นปิดตาปลาหรือแผ่นซิลิโคนรองเท้า
ช่วยลดแรงกดและแรงเสียดสีโดยตรงที่ผิวหนัง ทำให้ตาปลาหายช้าลงและไม่เจ็บมาก - ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid)
กรดนี้ช่วยทำละลายผิวที่หนาและแข็ง แต่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน - ปรับเปลี่ยนรองเท้า
เลือกรองเท้าที่พอดี ไม่บีบรัด และมีพื้นที่ให้เท้าขยับได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงกดซ้ำ ๆ - ปรึกษาแพทย์
หากตาปลามีขนาดใหญ่ เจ็บมาก หรือมีหนอง ควรพบแพทย์เพื่อตัดแต่งอย่างถูกวิธี ไม่ควรใช้ของมีคมตัดเองเพราะเสี่ยงติดเชื้อ
วิธีแก้ปัญหาผิวแตกที่ส้นเท้า
- ทาครีมบำรุงเท้าเป็นประจำ
เลือกครีมที่มีส่วนผสมของยูเรีย กลีเซอรีน หรือเชียบัตเตอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและซ่อมแซมผิวแตก - ใส่ถุงเท้าหลังทาครีม
หลังจากทาครีมบำรุง ควรใส่ถุงเท้าผ้าฝ้ายบาง ๆ เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันการเสียดสีเพิ่มเติม - หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า
การเดินโดยไม่ใส่รองเท้า โดยเฉพาะบนพื้นแข็งหรือสาก จะเพิ่มความเสี่ยงที่ส้นเท้าจะแตกมากขึ้น - ขัดเซลล์ผิวที่ตายออก
ใช้ที่ขัดเท้าเบา ๆ เพื่อกำจัดผิวที่หนา ช่วยให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น - รักษาความสะอาดเท้าเสมอ
ล้างเท้าทุกวันด้วยสบู่อ่อน ๆ และน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้า เพื่อป้องกันเชื้อราและการติดเชื้อ - ดื่มน้ำมากพอ
ผิวแห้งอาจเกิดจากการขาดน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวันเพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นจากภายใน
แนวทางป้องกันตาปลาและผิวแตก
- เลือกรองเท้าที่เหมาะสม: ควรเลือกขนาดที่พอดี มีพื้นรองรับแรงกระแทก และทำจากวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี
- ใส่ถุงเท้าเสมอเมื่อใส่รองเท้าปิด: ช่วยลดแรงเสียดสีและซับเหงื่อ
- บำรุงผิวเท้าเป็นประจำ: ทาครีมทุกวันหลังอาบน้ำ โดยเฉพาะก่อนนอน
- หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งนานเกินไปในท่าเดียว: หากทำงานที่ต้องยืน ควรพักขยับตัวเป็นระยะ
- ตรวจสุขภาพเท้าเป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน ควรตรวจเท้าทุกวันเพื่อหาความผิดปกติเล็ก ๆ ที่อาจพัฒนาเป็นปัญหาใหญ่
เมื่อใดควรไปพบแพทย์
แม้ปัญหาตาปลาและผิวแตกส่วนใหญ่สามารถดูแลเองได้ที่บ้าน แต่หากมีอาการต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์ทันที:
- ตาปลาหรือรอยแตกมีอาการเจ็บมากจนเดินลำบาก
- มีสัญญาณการติดเชื้อ เช่น บวม แดง ร้อน หรือมีหนอง
- ผิวแตกมีเลือดออกไม่หยุด
- ผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลที่เท้า เพราะเสี่ยงการติดเชื้อรุนแรง
- การดูแลเบื้องต้นไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นภายใน 2–3 สัปดาห์
การดูแลเท้าในชีวิตประจำวันเพื่อสุขภาพระยะยาว
แม้ว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะช่วยบรรเทาอาการตาปลาและผิวแตกได้ แต่การดูแลเท้าอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะสุขภาพเท้าที่ดีเกิดจากการสร้างนิสัยที่ดีในชีวิตประจำวัน ดังนี้:
- ทำความสะอาดเท้าทุกวัน
ล้างเท้าด้วยสบู่อ่อนและน้ำสะอาด โดยเฉพาะหลังจากใส่รองเท้าทั้งวันหรือเดินในที่สกปรก - เช็ดเท้าให้แห้งเสมอ
เน้นการซับตามซอกนิ้วเพื่อลดความชื้นซึ่งอาจทำให้เชื้อราเติบโต - เลือกถุงเท้าที่เหมาะสม
ถุงเท้าฝ้ายระบายอากาศได้ดี จะช่วยลดการอับชื้นและการเสียดสี - ตรวจสอบสภาพเท้าเป็นประจำ
มองหาสัญญาณความผิดปกติ เช่น รอยแดง แผลเล็ก ๆ หรือจุดที่มีแรงกดผิดปกติ เพื่อแก้ไขทันที - พักเท้าอย่างสม่ำเสมอ
หากต้องยืนนาน ควรหาช่วงเวลายกเท้าพักหรือนวดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
การปรับวิถีชีวิตเพื่อลดปัญหาเท้า
- ควบคุมน้ำหนักตัว: น้ำหนักเกินทำให้แรงกดที่เท้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวหนาและส้นเท้าแตกง่าย
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: เช่น เดินหรือยืดกล้ามเนื้อเท้า ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก
- ดื่มน้ำเพียงพอ: รักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว ลดโอกาสผิวแตก
- โภชนาการที่สมดุล: วิตามิน A, C, E และโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงผิว ลดความแห้งกร้าน
การป้องกันเป็นกุญแจสำคัญ
หลายคนมักจะเริ่มดูแลเท้าเมื่อเกิดปัญหาแล้ว แต่ความจริงคือ การป้องกันง่ายและได้ผลยั่งยืนกว่าการรักษา หากหมั่นทำความสะอาด บำรุง และเลือกรองเท้าที่เหมาะสม ปัญหาตาปลาและผิวแตกก็สามารถหลีกเลี่ยงได้
เช็กลิสต์การดูแลเท้า
การดูแลเท้าประจำวัน
- ล้างเท้าด้วยสบู่อ่อนและน้ำสะอาดทุกครั้งหลังกลับบ้าน
- เช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้ว
- ทาครีมบำรุงเท้าก่อนนอนทุกคืน
- เลือกรองเท้าที่พอดี ไม่บีบหรือหลวมเกินไป
- ใส่ถุงเท้าสะอาดทุกวัน เปลี่ยนทันทีหากชื้นจากเหงื่อ
การดูแลเท้าประจำสัปดาห์
- แช่เท้าในน้ำอุ่น 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผิวหนังนุ่ม
- ขัดผิวที่หนาหรือแข็งด้วยหินภูเขาไฟอย่างเบามือ
- ตรวจสอบสภาพผิวบริเวณส้นเท้าและนิ้วเท้าว่ามีรอยแตกหรือไม่
- ทำเล็บเท้าอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการตัดเล็บชิดเกินไปเพื่อป้องกันเล็บขบ
การดูแลเท้าประจำเดือน
- ตรวจสอบสภาพรองเท้า หากสึกหรือแข็งจนก่อให้เกิดแรงกด ควรเปลี่ยน
- เข้ารับบริการตัดหนังเท้าหรือดูแลสุขภาพเท้ากับผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็น
- สำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวานหรือโรคผิวหนัง ควรนัดตรวจเท้ากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
ประโยชน์ของการดูแลเท้าอย่างต่อเนื่อง
- ป้องกันการเกิดตาปลาและผิวแตกซ้ำ
เมื่อผิวได้รับความชุ่มชื้นและแรงกดถูกกระจายอย่างเหมาะสม ปัญหาก็จะไม่กลับมาเร็ว - ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
รอยแตกเล็ก ๆ มักเป็นทางเข้าเชื้อโรค การดูแลความสะอาดช่วยลดโอกาสนี้ได้มาก - เพิ่มความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
เท้าที่สะอาดและเรียบเนียนทำให้ใส่รองเท้าเปิดหรือเดินเท้าเปล่าในบ้านได้อย่างมั่นใจ - สนับสนุนสุขภาพโดยรวม
เท้าที่แข็งแรงช่วยให้การเดินและการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการเจ็บปวดและภาระต่อข้อต่อ
สรุปสุดท้าย
การแก้ปัญหาตาปลาและผิวแตกไม่ใช่เพียงการรักษาเมื่อเกิดอาการ แต่คือการสร้างนิสัยในการดูแลเท้าอย่างต่อเนื่องทุกวัน การล้างเท้าให้สะอาด ทาครีมบำรุง เลือกรองเท้าที่เหมาะสม และหมั่นตรวจสอบความผิดปกติ จะช่วยให้เท้าสะอาด เรียบเนียน และแข็งแรงมากขึ้น
สุขภาพเท้าที่ดีไม่เพียงทำให้ก้าวเดินสะดวก แต่ยังเป็นพื้นฐานของคุณภาพชีวิตที่ดีในทุก ๆ วัน
