น้ำยาล้าง จาน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ใช้ทำความสะอาดจาน ชาม และอุปกรณ์ครัวให้สะอาดหมดจด อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความสะอาดเหล่านี้ อาจมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ โดยเฉพาะในแง่ของ ค่า pH สูง และ สารเคมีบางชนิด ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวของคุณ หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง
1. ทำความเข้าใจกับค่า pH ในน้ำยาล้างจาน
pH คือค่าที่ใช้วัดความเป็นกรด-ด่างของสารใด ๆ ซึ่งมีช่วงตั้งแต่ 0 ถึง 14
- pH 7 หมายถึงเป็นกลาง เช่น น้ำบริสุทธิ์
- pH ต่ำกว่า 7 หมายถึงเป็นกรด
- pH สูงกว่า 7 หมายถึงเป็นด่าง
น้ำยาล้างจานส่วนใหญ่มีค่า pH อยู่ระหว่าง 7.5–10 หรือสูงกว่า เพื่อช่วยสลายคราบมันและคราบอาหารได้ง่ายขึ้น ยิ่งค่า pH สูงมากเท่าไร ความสามารถในการขจัดไขมันยิ่งมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคือง
2. สารเคมีที่พบในน้ำยาล้างจาน
น้ำยาล้างจานไม่ได้มีเพียงน้ำและกลิ่นหอมเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดที่มีหน้าที่เฉพาะ ได้แก่
- สารลดแรงตึงผิว (Surfactants)
เช่น Sodium Lauryl Sulfate (SLS) และ Sodium Laureth Sulfate (SLES) ซึ่งช่วยจับคราบมันและสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากภาชนะ แต่สารเหล่านี้อาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้หากสัมผัสนาน - สารด่าง (Alkaline Agents)
เช่น Sodium Carbonate หรือ Potassium Hydroxide ใช้เพิ่มค่า pH เพื่อช่วยสลายคราบไขมัน แต่สารด่างเข้มข้นสามารถกัดกร่อนผิวได้ - สารฟอกขาว (Bleaching Agents)
บางสูตรมีสารฟอกเพื่อขจัดคราบฝังแน่น แต่หากสัมผัสผิวโดยตรงอาจทำให้เกิดการไหม้เคมี - สารกันบูด (Preservatives)
เช่น Methylisothiazolinone (MIT) และ Benzisothiazolinone (BIT) เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย แต่บางคนอาจแพ้สารเหล่านี้ - น้ำหอมและสีสังเคราะห์
เพื่อเพิ่มความน่าใช้และกลิ่นหอม แต่ก็เป็นสาเหตุของการแพ้ผิวหนังในบางราย
3. ผลกระทบของค่า pH สูงและสารเคมีต่อผิวหนัง
การสัมผัสน้ำยาล้างจานที่มีค่า pH สูงและสารเคมีเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดปัญหาผิวได้ดังนี้
- ผิวแห้งและสูญเสียความชุ่มชื้น
เนื่องจากไขมันธรรมชาติบนผิวถูกชะล้างออก ทำให้ผิวสูญเสียเกราะป้องกันตามธรรมชาติ - การระคายเคืองและอักเสบ
ผิวอาจแดง คัน หรือบวม โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย - ผื่นผิวหนังอักเสบ (Contact Dermatitis)
เกิดจากการแพ้สารเคมีหรือการระคายเคืองซ้ำ ๆ - แผลไหม้เคมี
หากน้ำยามีสารด่างเข้มข้นมากและสัมผัสเป็นเวลานาน
4. กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง
- ผู้ที่มีผิวแห้งหรือแพ้ง่าย
- ผู้ที่มีโรคผิวหนังอยู่แล้ว เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis)
- ผู้ที่ต้องล้างจานหรือทำงานบ้านบ่อย
- ผู้สูงอายุที่ผิวบางและฟื้นตัวช้า
5. วิธีลดความเสี่ยงต่อผิวจากน้ำยาล้างจาน
- สวมถุงมือป้องกัน
เลือกถุงมือยางหรือถุงมือกันสารเคมีทุกครั้งที่ล้างจาน - เจือจางน้ำยาล้างจานก่อนใช้
ลดความเข้มข้นของสารเคมีและค่า pH - เลือกสูตรอ่อนโยน
มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH ใกล้เคียงผิว (pH 5.5–7) และปราศจาก SLS, MIT หรือสารฟอกขาว - หลีกเลี่ยงการสัมผัสเป็นเวลานาน
อย่าแช่มือในน้ำที่ผสมน้ำยาล้างจานนานเกินจำเป็น - บำรุงผิวหลังล้างมือ
ใช้ครีมบำรุงหรือวาสลีนเพื่อคืนความชุ่มชื้น
6. การปฐมพยาบาลหากผิวได้รับผลกระทบ
- ล้างออกทันที ด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้องอย่างน้อย 15 นาที
- ซับให้แห้งอย่างอ่อนโยน และทาครีมบำรุงผิว
- หากมีอาการคันหรือแดงมาก อาจใช้ครีมลดการอักเสบชนิดอ่อนภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- หากมีอาการพุพอง แผลเปิด หรือปวดมาก ควรรีบไปพบแพทย์
1. ค่า pH ในน้ำยาล้างจานคืออะไร
pH เป็นตัวชี้วัดความเป็นกรดหรือด่างของสาร
- pH 7 = เป็นกลาง เช่น น้ำบริสุทธิ์
- pH < 7 = เป็นกรด
- pH > 7 = เป็นด่าง
น้ำยาล้างจานทั่วไปมีค่า pH อยู่ระหว่าง 7.5–10 หรือสูงกว่า เพื่อช่วยสลายคราบมันและคราบอาหาร อย่างไรก็ตาม ค่า pH ที่สูงอาจทำให้ ไขมันธรรมชาติบนผิวถูกชะล้าง ส่งผลให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคืองได้
2. สารเคมีที่พบบ่อยในน้ำยาล้างจาน
2.1 สารลดแรงตึงผิว (Surfactants)
เช่น Sodium Lauryl Sulfate (SLS) และ Sodium Laureth Sulfate (SLES) ทำหน้าที่จับคราบมันและสิ่งสกปรก แต่ก็ทำให้ผิวแห้งและแพ้ได้
2.2 สารด่าง (Alkaline Agents)
เช่น Sodium Carbonate และ Potassium Hydroxide ช่วยเพิ่มค่า pH เพื่อกำจัดไขมัน แต่ถ้าเข้มข้นเกินไปจะกัดกร่อนผิว
2.3 สารฟอกขาว (Bleaching Agents)
ใช้ขจัดคราบฝังแน่น แต่สามารถทำให้เกิดการไหม้เคมีหากสัมผัสโดยตรง
2.4 สารกันบูด (Preservatives)
เช่น Methylisothiazolinone (MIT) และ Benzisothiazolinone (BIT) ป้องกันเชื้อราและแบคทีเรีย แต่เป็นสารก่อแพ้ในบางราย
2.5 น้ำหอมและสีสังเคราะห์
เพิ่มความน่าใช้ แต่เป็นสาเหตุของอาการแพ้ผิวหนังในบางคน
3. ผลกระทบต่อสุขภาพผิว
3.1 ผิวแห้งและสูญเสียความชุ่มชื้น
ค่า pH สูงและสารลดแรงตึงผิวจะชะล้างน้ำมันธรรมชาติบนผิว
3.2 การระคายเคืองและการอักเสบ
ทำให้ผิวแดง คัน และบวม โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง
3.3 ผื่นผิวหนังอักเสบ (Contact Dermatitis)
เกิดจากการแพ้หรือระคายเคืองซ้ำ ๆ จากสารเคมี
3.4 แผลไหม้เคมี
ในกรณีสัมผัสสารด่างเข้มข้นเป็นเวลานาน
4. กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง
- ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวแห้ง
- ผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น Atopic Dermatitis
- ผู้ที่ต้องล้างจานบ่อย
- ผู้สูงอายุที่ผิวบางและฟื้นตัวช้า
5. วิธีลดความเสี่ยง
5.1 สวมถุงมือป้องกัน
เลือกถุงมือยางหรือถุงมือกันสารเคมีทุกครั้งที่ล้างจาน
5.2 เจือจางน้ำยาล้างจานก่อนใช้
เพื่อลดความเข้มข้นของสารเคมีและค่า pH
5.3 เลือกสูตรอ่อนโยน
มองหาผลิตภัณฑ์ที่มี pH ใกล้เคียงผิว (pH 5.5–7) และปราศจากสารรุนแรง
5.4 หลีกเลี่ยงการสัมผัสนานเกินไป
อย่าแช่มือในน้ำที่ผสมน้ำยาล้างจานนานเกินจำเป็น
5.5 บำรุงผิวหลังล้างมือ
ใช้ครีมบำรุงหรือวาสลีนเพื่อคืนความชุ่มชื้น
6. การปฐมพยาบาลหากผิวได้รับผลกระทบ
- ล้างออกทันที ด้วยน้ำสะอาด 15 นาทีขึ้นไป
- ซับผิวให้แห้ง ด้วยผ้านุ่ม
- ทาครีมบำรุง เพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
- ใช้ครีมลดการอักเสบ ภายใต้คำแนะนำแพทย์หากจำเป็น
- พบแพทย์ทันที หากมีอาการพุพอง แผลเปิด หรือปวดรุนแรง